เรื่องน่ารู้เพื่อลูกก้าวทันโลกอนาคต

เรื่องน่ารู้เพื่อลูกก้าวทันโลกอนาคต

ลูกยุคนี้ ต้อง 4 ทักษะแห่งอนาคต

เพราะโลกสมัยนี้ไม่เหมือนสมัยก่อน เส้นทางสู่ความสำเร็จในชีวิตแตกต่างไปจากยุคของคุณพ่อคุณแม่ นิยามความเป็นคนเก่งเป็นคนฉลาด ไม่ได้วัดกันที่ผลคะแนนเรียน ไม่ได้วัดกันที่ความรู้ว่าใครมีมากกว่า ไม่ได้วัดกันที่อาชีพยอดนิยมที่ในอดีตคนชื่นชมยกย่อง วันนี้โลกพัฒนาไปอย่างรวดเร็วด้วยเทคโนโลยีและนวัตกรรมใหม่ ๆ มากมาย อยากให้ลูกก้าวทันไปกับโลกนี้ มีโอกาสประสบความสำเร็จในอนาคตได้ คุณพ่อคุณแม่ต้องให้ลูกพร้อมเรียนรู้ ปรับตัว พัฒนาตัวเอง ด้วยทักษะรูปแบบใหม่ที่เข้ากับโลกที่เปลี่ยนไป

4 ทักษะแห่งอนาคต

ทักษะทั่วไปไม่พออีกแล้ว ยุคนี้ลูกต้องพร้อมด้วย 4 ทักษะใหม่ คือ Communication, Collaboration, Creativity และ Critical Thinking ซึ่งเป็นทักษะที่สำคัญของการใช้ชีวิตในในศตวรรษที่ 21 เลยก็ว่าได้ คุณพ่อคุณแม่จะมีส่วนช่วยลูกพัฒนา 4 ทักษะนี้ได้อย่างไรบ้างไปดูกันเลยค่ะ

1. คิดวิเคราะห์ฉับไว (Critical Thinking)

เมื่อเข้าสู่โลกยุคใหม่เต็มตัว การใช้ชีวิตของเด็ก ๆ ในปัจจุบันทำให้มีทางเลือกเข้ามามากมาย และเมื่อโตขึ้นพวกเขาจะต้องออกไปใช้ชีวิตและมีชีวิตเป็นของตนเอง จึงจำเป็นที่เด็ก ๆ ควรจะต้องได้รับการฝึกให้ช่วยเหลือตัวเองได้ ต้องรู้จักคิดวิเคราะห์ ลองตัดสินใจอะไรเองบ้าง ซึ่งอาจนำไปสู่ทักษะการเป็นผู้นำหรือทักษะอื่น ๆ อีกที่เริ่มได้จากเรื่องง่าย ๆ

คุณพ่อคุณแม่ฝึกทักษะนี้ให้ลูกโดยให้เขาได้ใช้ความคิดในการทำสิ่งต่าง ๆ ด้วยตนเอง เช่น

  • พยายามแก้โจทย์การบ้านเอง หรือแก้ปัญหาอื่นที่ลูกต้องเจอด้วยตนเองก่อน หากลูกไม่เข้าใจก็ให้คุณพ่อคุณแม่ค่อย ๆ แนะนำแต่ไม่เฉลยคำตอบทั้งหมด
  • จัดเตรียมของใช้ส่วนตัวเอง เช่น เสื้อผ้า ถุงเท้า รองเท้า หรืออุปกรณ์สำหรับไปโรงเรียนในวันรุ่งขึ้น
  • วางแผนจัดการชีวิตตัวเอง เช่น การจัดสมุดหนังสือตามตารางเรียนและเครื่องเขียนต่าง ๆ
  • อดทนรอสิ่งที่พวกเขาต้องการและให้ลองคิดหาวิธีการผ่านอุปสรรคบางอย่างเอง หลายครั้งพ่อแม่อาจไม่ใจเย็นพอที่จะรอลูกคิดหรือตัดสินใจจึงรีบทำให้ทุกอย่าง แต่นั่นเป็นการจำกัด การเรียนรู้ของลูก ทำให้ลูกทำอะไรไม่เป็นหรือเป็นช้ากว่าเด็กคนอื่น คุณพ่อคุณแม่เองก็ต้องอดทนอยู่เฉย ๆ ให้เพื่อปล่อยให้ลูกได้เรียนรู้ผ่านประสบการณ์จริงด้วยตัวเอง

2. ไอเดียสร้างสรรค์ (Creativity)

เพราะจินตนาการเป็นพื้นฐานของความคิดสร้างสรรค์ สร้างเด็กให้เป็นคนมีชีวิตชีวาอยู่บนโลกด้วยความหวังและคิดค้นสิ่งใหม่ ๆ ได้ คุณพ่อคุณแม่จึงควรส่งเสริมทักษะนี้ให้ลูก เช่น ชวนลูกร้องเพลงที่แต่งกันเอง ฝึกแต่งนิทานกันเอง หรือทำกิจกรรมศิลปะ ทั้งการวาดภาพระบายสี ปั้น พับกระดาษ ตัด-แปะกระดาษสีเป็นการ์ดรูปภาพหรือเป็นเรื่องราวต่าง ๆ นำวัสดุเหลือใช้มาประดิษฐ์เป็นของเล่นหรือของใช้ เป็นต้น เพื่อให้สมองได้ฝึกคิดและมีจินตนาการในการสร้างสรรค์ผลงานของตัวเอง

นอกจากนี้ ควรปล่อยให้ลูกเล่นอย่างอิสระ เพราะการเล่นทำให้เด็กเกิดการเรียนรู้ผ่านประสาทสัมผัสทั้ง 5 มากขึ้น พร้อมทั้งช่วยพัฒนากล้ามเนื้อ รวมถึงให้ลูกได้เรียนรู้เกี่ยวกับพื้นผิวสัมผัสของสิ่งต่าง ๆ เช่น แยกเนื้อละเอียดเนื้อหยาบของทรายได้ ทั้งยังรู้จักสังเกต และที่สำคัญคือเป็นการเปิดโอกาสให้เด็กได้ใช้ความคิดสร้างสรรค์นั้นเอง

3. ร่วมมือ แบ่งปัน (Collaboration)

ความร่วมมือเป็นการกระทำที่เกิดในชีวิตของคนเราตลอดเวลาเพราะเราอยู่กันเป็นสังคม พ่อแม่จะเป็นผู้ที่สนับสนุนและส่งเสริมให้เด็กได้กระทำโดยการเป็นแบบอย่างที่ดีและจัดสิ่งแวดล้อมให้เด็กได้ทีโอกาสปฏิบัติจริง ซึ่งต้องอาศัยระยะเวลาให้เด็กมีการปรับตัว เรียนรู้ ยิ่งเด็กมีโอกาสเข้ากลุ่มกับเพื่อนหรือได้มีส่วนร่วมในสังคมมากเท่าไหร่ จะยิ่งมีพฤติกรรมการให้ความร่วมมือสูงมากขึ้น ซึ่งพ่อแม่สามารถฝึกทักษะนี้ให้ลูกได้ด้วยวิธีต่าง ๆ เช่น

  • พาลูกไปในสถานที่ต่าง ๆ นอกบ้าน ให้เด็กเห็นการปฏิบัติตนที่ดีแสดงถึงความร่วมมือเช่นการปฏิบัติตนตามกฎระเบียบของสถานที่ต่าง ๆ เช่น การใช้บันไดเลื่อนที่ห้างสรรพสินค้า การจอดรถเมื่อไฟสีแดงการจอดรถริมทางตามเวลา การเข้าแถวซื้อตั๋วรถไฟฟ้า ซื้ออาหารจ่ายค่าสินค้าต่าง ๆ ฯลฯ เด็กจะเห็นความร่วมมือของผู้ใหญ่ และนำไปเป็นแบบอย่างต่อไป
  • ชวนลูกทำกิจกรรมครอบครัวง่าย ๆ ตามวัย เช่น การทำอาหารรับประทานเอง การจัดแต่งบ้าน การทำงานบ้านร่วมกัน โดยให้ลูกมีส่วนร่วมคิดวางแผนด้วย เมื่อเสร็จแล้วพ่อแม่ควรสนทนากับลูกเพื่อชี้ให้เห็นว่าการทำงานสำเร็จเพราะเราช่วยกัน
  • ร้องเพลงสนุก ๆ เล่านิทาน ท่องคำกลอน เล่าเรื่องที่เกิดขึ้นจริงจากข่าว หรือเหตุการณ์ในชีวิตประจำวันที่มีเนื้อหาเกี่ยวกับความร่วมมือ แล้วชวนลูกสนทนาถามความคิดเห็น หรือแนะนำเพิ่มเติมเกี่ยวกับเรื่องความร่วมมือในเรื่องที่คุยกัน

4. สื่อสารเฉียบคม (Communication)

พ่อแม่สามารถสอนให้ลูกน้อยสื่อสารชัดเจนและมีประสิทธิภาพได้ด้วยการฝึกพูดฝึกเขียน อาจเริ่มตั้งแต่คำสั้น ๆ จนเป็นประโยคที่สมบูรณ์อย่างค่อยเป็นค่อยไปพร้อมบอกความหมายให้เขาเข้าใจ และสำหรับในโลกที่ไร้พรมแดนแบบนี้ภาษาและการสื่อสารกลายเป็นสื่อกลางที่สำคัญมาก การสอนให้เด็กรู้จักภาษาจึงไม่ควรจำกัดเพียง 1-2 ภาษาแต่ควรเรียนรู้ภาษาที่ 3 หรือ 4 ไว้ด้วยเพื่อใช้สื่อสารกับผู้คนบนโลกใบนี้ได้อย่างคล่องแคล่วซึ่งเทคนิคการเรียนรู้ด้านภาษาหรือการฝึกสอนภาษาอื่น ๆ ให้กับลูกพ่อแม่สามารถใช้สิ่งต่าง ๆ จากรอบตัว เช่น

  • ดูภาพยนตร์ต่างประเทศ แม้การให้ลูกดูหลังจะเป็นการสื่อสารทางเดียวแต่คุณพ่อคุณแม่สามารถสอนลูกให้เรียนรู้และฝึกฟังภาษาอื่นๆ ที่เป็น SoundTrack จากหนังหรือการ์ตูน พร้อมกับอธิบายความหมายไปด้วย
  • ฟังเพลงภาษาอื่น ๆ รวมทั้งร้องเพลงให้ลูกฟัง เพลงประกอบด้วยคำคล้องจองจังหวะและเสียงสูงและต่ำ เด็ก ๆ จะเรียนรู้ภาษาคำศัพท์ ความรู้สึกอารมณ์เพลง เป็นการเรียนรู้โดยการใช้คำประกอบกับท่าทางการเคลื่อนไหวร่างกายกล้ามเนื้อใหญ่กล้ามเนื้อเล็กและทำให้เด็กสนุกไม่เบื่อ
  • เล่นกับลูกพูดคุย เล่าเรื่องที่น่าสนใจให้ลูกฟัง ให้ลูกพูดเล่นบทบาทสมมติ เล่นของเล่นกับลูก พยายามเพิ่มคำศัพท์ต่าง ๆให้ลูกขณะที่เล่น
  • สร้างจุดสนใจ เมื่อไปยังสถานที่ต่าง ๆ กับลูก พูดคุยชี้ชวนถึงสิ่งรอบตัวต่าง ๆให้ลูกเข้าใจความสัมพันธ์ระหว่างสิ่งของนั้น แล้วเชื่อมโยงกับคำศัพท์ เพื่อสร้างการเรียนรู้ให้ลูก
  • ใช้กิจกรรมประจำวัน ทุกโอกาสสอนภาษาให้ลูกได้ เช่น เมื่อไปสั่งอาหารที่ร้านอาหาร ไปซื้อของที่ซูเปอร์มาร์เก็ต ขณะขับรถหรือทำอาหารในครัว เมื่อเราเห็นอะไรชี้ชวนและพูดคุยกับลูก เด็ก ๆ จะเรียนรู้ภาษาคำศัพท์ในขณะที่ทำกิจกรรมนั้นๆ

การให้ลูกน้อยได้ฝึกฝนจนมี 4 ทักษะเหล่านี้ คุณพ่อคุณแม่ควรปลูกฝังตั้งแต่วัยเด็กเพราะเป็นวัยแห่งการเรียนรู้ ซึ่งปัจจุบันหลายโรงเรียนในประเทศไทยเรายังไม่มีหลักสูตรการเรียนการสอนในระดับปฐมวัยเกี่ยวกับทักษะต่าง ๆ พวกนี้ จึงจำเป็นอย่างยิ่งที่พ่อแม่ควรรับรู้และสอนให้เด็ก ๆ มีทักษะแห่งอนาคตทั้ง 4 นี้ ซึ่งจะทำให้พวกเขาสามารถอยู่รอดในสังคมและมีชีวิตที่มีคุณภาพได้ในอนาคตเมื่อโตขึ้น #EnfaFutureBrain