พัฒนาสมองลูกน้อยในครรภ์ด้วยเสียงรักจากแม่
view 3,497
เราต่างก็ทราบกันดีว่า การสร้างภาวะอารมณ์ทางบวกต่อสิ่งรอบตัวเพื่อเพิ่มพัฒนาการของเด็ก เช่น ความอ่อนโยนจากสัมผัส และน้ำเสียงอันอ่อนโยนที่เปี่ยมด้วยความรักของแม่และพ่อ จะเป็นแรงกระตุ้นการทำงานของสมองลูกในครรภ์ และสิ่งซึ่งแสดงถึงความสัมพันธ์อันอบอุ่นนี้จะเป็นสิ่งเชื่อมโยงสัมพันธภาพระหว่างพ่อแม่ลูกอย่างดี
ด้วยเหตุนี้คำพูดต่างๆ ที่คุณแม่ได้ถ่ายทอดผ่านการอ่านหนังสือ พูดคุย หรือเล่าเรื่องราวต่างๆ ให้ลูกฟังด้วยน้ำเสียงที่นุ่มนวล อ่อนโยนระหว่างตั้งครรภ์ จะช่วยเพิ่มพัฒนาการของเด็กทางภาษาอย่างรวดเร็วหลังคลอด ยิ่งไปกว่านั้น ยังช่วยสร้างสายใยแห่งสัมพันธภาพอันลึกซึ้งระหว่างพ่อแม่ลูก
|
|
|
|
นอกจากนี้ การที่เด็กได้ยินเสียงของพ่อแม่เป็นประจำ จะช่วยให้เด็กสามารถแยกแยะความแตกต่างของเสียงที่ได้ยินได้มากขึ้นด้วย โดยเฉพาะในช่วงอายุครรภ์ 6-7 เดือนเด็กสามารถจดจำเสียงที่มาจากภายนอกได้แล้ว เช่น เสียงพูดคุย และเสียงเพลงต่างๆ พอลูกคลอดออกมาแล้ว เมื่อได้ยินเสียงเพลงหรือเสียงพ่อแม่ที่คุ้นเคย เขาก็จะรู้สึกอบอุ่นและปลอดภัยซึ่งคุณพ่อคุณแม่ควรพูดกับลูกช้าๆ หรืออ่านหนังสือนิทานที่มีเนื้อหาเข้าใจง่าย และมีจังหวะคล้องจองให้ลูกฟัง มีงานวิจัยหนึ่งแนะนำให้แม่ตั้งครรภ์เล่านิทานให้ทารกในครรภ์ฟังสักเรื่องหนึ่ง และทันทีที่ทารกคลอด ก็ให้แม่เล่านิทานเรื่องเดิมนั้นให้ทารกแรกคลอดฟังอีก แล้วทดสอบโดยเครื่องมือ Such-O-Meter ซึ่งประกอบด้วยขวดนมและหูฟังที่ต่อกับเครื่องคอมพิวเตอร์ ปรากฏว่าทารก 16 ใน 17 รายจะดูดนมด้วยความเร็วคนละระดับกับเมื่อได้ยินเสียงแม่เล่านิทานเรื่องอื่น ยิ่งกว่านั้นเมื่อใช้นิทานเรื่องเดิมแต่เป็นเสียงผู้หญิงคนอื่นเล่า ทารกก็ตอบสนองต่อเสียงนั้นในระดับที่แตกต่างกัน แสดงว่าทารกในครรภ์รับรู้การได้ยิน และสามารถจดจำนิทานที่เคยได้ยิน และแยกแยะเสียงของแม่ออกจากเสียงของผู้อื่นได้ |
ด้วยเหตุนี้ พ่อแม่ควรจะคุยกับลูกในครรภ์บ่อยๆ ด้วยเสียงที่ดังกว่าปกติเล็กน้อยเพื่อให้ลูกได้ยิน เพราะในท้องจะมีเสียงลำไส้ เราจึงต้องพูดดังขึ้นเล็กน้อย เพื่อให้เสียงดังผ่านกล้ามเนื้อมดลูกเข้าไปถึงลูกได้