DHA ในปลาทะเลกับปลาน้ำจืดต่างกันอย่างไร?
view 6,012
เป็นที่ทราบกันดีแล้วว่า DHA (DOCOSAHEXANOIC ACID) ซึ่งเป็นกรดไขมันโอเมก้า 3 ที่มีส่วนสำคัญในการพัฒนาสมองโดยเฉพาะในส่วนของความจำและการเรียนรู้ ช่วยพัฒนาจอประสาทตา ซึ่งนอกจากนมแม่จะเป็นแหล่ง DHA ที่สำคัญสำหรับทารกแล้ว เมื่อลูกเข้าสู่วัยที่สามารถรับอาหารเสริมได้แล้ว คุณแม่หลายคนจึงเลือกที่จะเสริมอาหารประเภท “เนื้อปลา” ให้แก่ลูก เพราะทราบดีว่า นอกจากจะเป็นแหล่งของโปรตีนชั้นยอดแล้ว ยังเป็นแหล่ง DHA ชั้นดีด้วย ที่สำคัญไม่เฉพาะแต่เนื้อปลาทะเลเท่านั้น ที่มี DHA ในปลาน้ำจืดหลายชนิดก็มี DHA ในปริมาณที่พอๆ กันและมีคุณค่าไม่แตกต่างกัน บางชนิดกลับมี DHA มากกว่าปลาทะเลเสียอีก
ศ.พญ.ชนิกา ตู้จินดา คณะกรรมการกองทุนสสส. เคยกล่าวไว้เมื่อครั้งร่วมแถลงข่าวในงาน "กินปลาช่วยชาติ เงินหดน้อย พุงไม่มา โรคร้ายไม่มี" ว่า คนส่วนใหญ่เข้าใจผิดว่าโอเมก้า 3 (สารตั้งต้นของ DHA) มีเฉพาะในปลาทะเล แต่ในปลาน้ำจืดก็มีโอเมก้า 3 สูง บางประเภทสูงกว่าปลาทะเลเสียอีก ตัวอย่าง...
ปลาทะเล
ปลาน้ำจืด
|
ดังนั้น คุณแม่จึงสามารถเลือก “เนื้อปลา” มาปรุงอาหารเสริม (เช่น เนื้อปลาครูด เนื้อปลาบด เนื้อปลาสับหยาบ) ให้ลูกได้อย่างสบายใจ เพราะไม่ว่าจะปลาจากทะเล หรือปลาจากแม่น้ำ ก็มั่นใจได้ว่า ลูกรักจะได้รับสารอาหารอย่าง DHA เช่นกัน และด้วยเหตุนี้ สมาคมแพทย์โรคหัวใจสหรัฐฯ จึงแนะนำให้กินปลาไม่น้อยกว่า 2 มื้อต่อสัปดาห์ และควรปรุงด้วยการต้มหรือการนึ่งมากกว่าทอด เพราะเมื่อผ่านความร้อนสูง กรดไขมันโอเมก้า 3 จะสลายได้ง่ายกว่า