ปริมาณ DHA ที่เหมาะสม...จำเป็นต่อการเรียนรู้ของลูกน้อย
view 3,624
เพิ่มการพัฒนาสมองให้ลูกน้อย
จากการศึกษาทำให้เราทราบว่า ในช่วงตั้งครรภ์ถึง 3 ปีแรกนั้น สมองของเด็กพัฒนาสูงสุดถึง 80 % เซลล์สมองจะขยายขนาด และมีการสร้างเครือข่ายเส้นใยประสาทอย่างรวดเร็ว เพื่อเชื่อมให้เกิดการสื่อสารระหว่างเซลล์สมอง น้ำหนักสมองจะเพิ่มขึ้นถึง 3 เท่า ดังนั้นในช่วงเวลานี้ จึงเป็นเวลาทองที่คุณพ่อคุณแม่ต้องให้ความสำคัญในการให้ลูกน้อยได้รับโภชนาการ และการกระตุ้นสมองให้มีการเชื่อมต่อระหว่างเซลล์ให้เกิดขึ้นมากที่สุด
- DHA คือ สารอาหารสำคัญของสมอง
การให้ลูกน้อยได้รับสารอาหารที่ช่วยส่งเสริมการทำงานของสมอง เป็นสิ่งสำคัญมาก โดยเฉพาะการได้รับ DHA ซึ่งคือ กรดไขมัน (หน่วยที่เล็กที่สุดของไขมัน) สายยาวตระกูลโอเมก้า 3 และโอเมก้า 6 จากการศึกษาทางการแพทย์พบว่า DHA เป็นโครงสร้างพื้นฐานที่สำคัญของเซลล์สมองและประสาทตา เพราะ 60% ของสมองประกอบด้วยกรดไขมันที่ร่างกายสร้างเองไม่ได้ และกรดไขมันชนิดที่สำคัญ คือ DHA
เนื่องจาก DHA เป็นโครงสร้างพื้นฐานของเซลล์สมอง และประสาทตา จึงมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อพัฒนาการทางสมอง และระบบการทำงานของสายตา โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในช่วงตั้งแต่แรกเกิด-3 ปี ที่ต้องการ DHA ในปริมาณมากและอย่างเพียงพอ เพื่อใช้ในการพัฒนาสมอง และสายตาอย่างเต็มที่
ร่างกายเด็กไม่สามารถสร้าง DHA เองได้ ต้องได้รับจากอาหารเท่านั้น DHA มีมากในนมแม่ ปลาทะเล เช่น ปลาทูน่า ปลาแซลมอน และสาหร่ายทะเล ในเด็กเล็กๆ ที่ยังกินอาหารไม่ได้นั้น เขาจะได้รับดีเอชเอผ่านนมแม่ ส่วนช่วงที่ลูกน้อยอยู่ในครรภ์จะได้รับดีเอชเอ ผ่านรกโดยตรง และจะสะสมไว้ในสมองมากเป็นพิเศษในช่วง 3 เดือนสุดท้ายก่อนคลอด เนื่องจากในช่วงนี้อัตราการเจริญเติบโตและพัฒนาการของสมองจะเป็นไปอย่างรวดเร็ว จะเห็นได้ว่าเด็กจะได้รับดีเอชเอ และเออาร์เอ ตั้งแต่อยู่ในครรภ์จากอาหารที่แม่ทานไปจนถึงหลังคลอดจากน้ำนมแม่
ดังนั้น ขณะตั้งครรภ์และหลังคลอด คุณแม่จึงควรทานดีเอชเอ ซึ่งมีอยู่ในอาหารอย่างปลาทะเล สัปดาห์ละ 3-4 ครั้ง ประมาณ 1,000-1,500 มก. ต่อวัน เพื่อให้ลูกได้รับปริมาณดีเอชเอในนมแม่อย่างเพียงพอ
รู้หรือไม่? ปริมาณ DHA ที่เหมาะสม...จำเป็นต่อการเรียนรู้
อย่างกล่าวข้างต้นว่า เด็กๆ ควรได้รับ DHA ในปริมาณเพียงพอที่ร่างกายสามารถนำไปใช้ประโยชน์ในการพัฒนาสมองและสายตาได้
องค์กรนานาชาติอย่าง FAO/WHO ได้แนะนำปริมาณ DHA ที่เหมาะสมสำหรับเด็กแรกเกิด-1 ปี ก็คือ ปริมาณ DHA 17 และ ARA 34 มก./100 กิโลแคลอรี และมีงานวิจัยทางการแพทย์รับรองว่าเด็กที่ได้รับนมที่มี DHA 17 และ ARA 34 มก./100 กิโลแคลอรี มีพัฒนาการด้านต่างๆ ดีกว่าเด็กที่ไม่ได้รับนมเสริมนมที่มี DHA และ ARA..
DHA คืออะไร จะพูดได้ว่า DHA 17 และ ARA 34 มก./100 กิโลแคลอรี ช่วย “เพิ่ม” พัฒนาการให้ลูกน้อยดังนี้
- เพิ่มระดับสติปัญญา
มีระดับสติปัญญาสูงกว่าถึง +7 จุด (วัดที่อายุ 18 เดือน)
(Ref : Birch EE, et al. Dev Med Child Neurol.2000;42:174-181) - เพิ่มการมองเห็น
มีการมองเห็นดีกว่า (วัดที่อายุ 1 ปี)
(Ref : Morale SE, et al. Early Hum Dev.2005;81:197-203) - เพิ่มทักษะการแก้ปัญหา
มีทักษะการแก้ปัญหาดีกว่า (วัดที่อายุ 9 เดือน)
(Ref : Drover JR, et al. Child Development.2009;80:1376-84) - เพิ่มความสามารถทางภาษา
มีความสามารถทางภาษาดีกว่าถึง +6 จุด (วัดที่อายุ 4 ปี)
(Ref : Birch EE, et al. Early Human Dev.2007;83:279-284)
78% Plus…เพิ่มดีเอชเอปริมาณที่เหมาะสม
เพื่อวัยเรียนรู้ 1-3 ปี
เด็กวัย 1-3 ขวบ เป็นช่วงที่พัฒนาการด้านต่างๆ ของเขากำลังเจริญเติบโตอย่างเต็มที่ แต่จากผลสำรวจ กลับพบว่าเด็กทั่วโลกในช่วงวัยนี้ได้รับปริมาณ DHA ในปริมาณที่ต่ำ ซึ่งไม่เหมาะสมต่อการเจริญเติบโต และการพัฒนาสมอง อันเป็นส่วนสำคัญต่อการเสริมสร้างสมาธิ การจดจำ และการคิดวิเคราะห์ของเด็ก
องค์กรระดับโลกอย่าง ANSES จากประเทศฝรั่งเศส ได้แนะนำให้เด็กวัยนี้ควรได้รับ DHA ให้ได้อย่างน้อย 70 มก. ต่อวัน ซึ่งนับเป็นปริมาณเทียบเท่ากับการดื่มนมที่มีสารอาหาร DHA 25 มก. ต่อ 3 แก้ว เพื่อให้เขาพร้อมต่อการเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ ทุกวัน
คุณพ่อคุณแม่จึงควรให้ความสำคัญกับการเลือกนมที่มีปริมาณ DHA ที่เหมาะสมให้ลูกน้อย เพื่อพัฒนาการที่เต็มศักยภาพของเขาค่ะ